ห้องเรียนคุณภาพ กับการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่สากล

Knowledge Management

ห้องเรียนคุณภาพ กับการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่สากล

โพสต์โดย surisa » พุธ 08 ก.ค. 2015 7:14 pm

ห้องเรียนคุณภาพ กับการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่สากล
.......................................................
1. กรอบแนวคิด
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ถือว่าเป็นหัวใจของการทำงานเพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะข้าราชการ หากพิจารณาแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งนัก กล่าวคือ
เข้าใจ หมายถึง ความเข้าใจแจ่มชัดในประเด็น จุดมุ่งหมาย ทิศทางของงานที่ทำ
เข้าถึง หมายถึง การเข้าถึงปัจจัย เช่น องค์ความรู้ หลักคิดทฤษฎี แนวทาง ทรัพยากรการบริหารต่าง ๆ ของงานที่กำลังทำ
พัฒนา หมายถึง การลงมือกระทำ และหาทางต่อยอดองค์ความรู้เดิมให้ดีขึ้น สิ่งที่ต่อยอดนี้เป็นองค์ความรู้ใหม่ ที่เรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) เกิดวิธีคิดใหม่ (Paradigm) ที่เป็นของตน ส่วนนี้ถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่จะเปิดทางให้ผู้อื่นได้เรียนรู้และต่อยอด
ถือว่าเป็นทฤษฎีการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่มีคุณค่ายิ่งที่สามารถนำมา ประยุกต์ใช้ในการบริการจัดการศึกษาในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติคือครู
กรอบแนวคิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีดังนี้
การยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ตามแนวทางการส่งเสริมคุณภาพห้องเรียน (Quality Classroom) ถือว่าเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ตรงเป้าที่สุด เพราะสามารถบอกความสำเร็จและความล้มเหลวของการจัดการเรียนรู้ได้จริง ผู้เรียนจะมีคุรภาพหรือไม่ต้องดูจากจุดนี้
2. ห้องเรียนคุณภาพ คืออะไร
ห้องเรียนคุณภาพ ที่ สพฐ.กำหนด เป็นแนวทางสำหรับครูโดยตรง ที่จะเป็นผู้จัดการเรียนรู้ที่เน้นคุณภาพให้เกิดขึ้นในชั้นเรียนอย่างแท้ จริง ภายใต้แนวทาง มี 5 ประการ คือ
1) นำการเปลี่ยนแปลงสู่ห้องเรียนคุณภาพ
2) ออกแบบการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน
3) การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Action Research- CAR)
4) การใช้ ICT เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน
5) การสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline)
ห้องเรียนคุณภาพ จึงไม่ใช่รู้และเข้าใจ จำแนวทางทั้ง 5 ข้อได้อย่างขึ้นใจเท่านั้น หากเมื่อครูสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมจะเป็นคุณูปการแก่ผู้เรียน ตนเอง และโรงเรียนเป็นอย่างมาก การใช้แนวพระราชดำรัสของในหลวง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาทบทวนในแต่ละข้อ ก็จะส่งผลให้งานสอนของครูมีคุณค่าที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก
3. แนวทางสู่ห้องเรียนคุณภาพในระดับโรงเรียน
โรงเรียน มีบทบาทโดยตรงในการจัดการศึกษา และพัฒนาสู่ห้องเรียนคุณภาพ โรงเรียนมีองค์ประกอบสำคัญที่จะขาดไม่ได้คือ บุคลากรครู นักเรียน หลักสูตร และสถานที่เรียน ในด้านบุคลากรประกอบด้วยบุคลากรหลัก 2 ส่วน คือผู้บริหารและครู
การทำให้เกิดห้องเรียนคุณภาพ ผู้บริหารและครู ควรมีจังหวะเดินที่มั่งคง ดังนี้
3.1 ผู้อำนวยการโรงเรียน
อยู่ในฐานะผู้บริหารจัดการหลักสูตร (Curriculum Manager) มี 3 บทบาทที่ต้องพิจารณาในการเดิน คือ 1) การสร้างหลักสูตร 2) การใช้หลักสูตร และ 3) การประเมินหลักสูตร

1) การสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
ผู้บริหาร เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษาและนำหลักสูตรมาใช้จริง ต้องการศึกษาวิเคราะห์สภาพข้อมูล การมีส่วนร่วม การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน การกำหนดโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา การออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้กลุ่มสาระ การวัดและประเมินผลหลักสูตร ตลอดจนการอนุมัติใช้หลักสูตรและประชาสัมพันธ์หลักสูตรสถานศึกษาแก่สาธารณชน ผู้มีส่วนได้เสีย
2) การใช้หลักสูตรสถานศึกษา
เป็นการนำหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องพิจารณาและตัดสินใจมอบหมายให้ครูได้รับผิดชอบใน รายวิชาหรือชั้นเรียนตามหลักสูตรอย่างครบถ้วน เพื่อครูจะได้มีสถานภาพสมบูรณ์ในฐานะเจ้าภาพรับผิดชอบสาระรายวิชาหรือชั้น เรียนที่จะต้องทำการบริหารจัดการต่อไป
เงื่อนไขความสำเร็จ (แนวทาง) มีดังนี้
(1) วางแนวทางการบริหารจัดการ ได้แก่ การกำหนดเงื่อนไข นโยบาย ปฏิทินการทำงาน (School Agenda) การส่งงาน กำหนดระเบียบและข้อตกลงร่วมกัน (House Rules) ที่จะทำให้ครูและบุคลากรต้องทำแนวทางเดียวกัน ที่สำคัญคือ ผู้บริหารได้รับทราบและส่งเสริมความเคลื่อนไหวในการเดินของครูแต่ละก้าวที่ มั่นคงต่อเนื่อง
(2) กำหนดโครงการพัฒนา การทำงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ การวิจัยองค์กร (สถานศึกษา) การวิจัยหลักสูตร โครงงาน กิจกรรมการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) การจัดระบบนิเทศภายใน เป็นระบบการนิเทศการศึกษาที่มีคุณค่าที่สุด ด้วยการวางระบบการนิเทศภายใน กำหนดโครงสร้าง ภารกิจขอบข่าย กิจกรรมการเยี่ยม การให้คำปรึกษาหารือ การกำกับ โดยผู้บริหารต้องทำหน้าที่ศึกษานิเทศก์ที่คอยให้กำลังใจ ดูแล สร้างเสริม พัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการรายวิชาของครูสู่การพัฒนาห้องเรียนคุณภาพ และการประเมิน
จึงไม่ควรมีห้องทดลอง หรือนำร่องห้องเรียนคุณภาพ สร้างโอกาสเกิดให้ขึ้นกับทุกห้องเรียนอย่างเท่าเทียม
3) ประเมินหลักสูตรสถานศึกษา
การประเมินหลักสูตร เป็นการสรุปรายงานผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเมื่อสิ้นปีการศึกษา มีการวิเคราะห์ผลสำเร็จและความล้มเหลวของการใช้หลักสูตรสถานศึกษาในรอบปี ซึ่งควรดำเนินการเมื่อสิ้นปีการศึกษาในสิ้นเดือนมีนาคม แล้วนำข้อเด่นและข้อด้อยมาปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาใหม่ และขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและประกาศใช้ในปีการ ศึกษาต่อไปในเดือนพฤษภาคม เป็นการต่อยอดองค์ความรู้จากหลักสูตรเดิมสู่รอบปีการศึกษาใหม่ (Spiral) ต่อไป
ทุกสิ้นปีการศึกษา เดือนมีนาคม จึงเป็นระยะเวลาที่มีความสำคัญที่สุด ที่จะได้รับการสรุปและรายงานผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาประจำปีในรายวิชาหรือ ชั้นของครู และผู้บริหารก็นำผลงานวิจัยรายวิชามาพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาในเดือน เมษายน ให้ทันใช้ในปีการศึกษาต่อไป

3.2 ครู
เมื่อครูได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบวิชาหรือชั้นใด ครูก็มีบทบาททางการบริหารทันที คือ การเป็นผู้บริหารจัดการรายวิชา (Course Manager) เมื่อได้รับผิดชอบสาระรายวิชา หรือผู้จัดการชั้นเรียน (Class Manager) เมือได้รับมอบหมายให้สอนทั้งชั้น
เป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญที่สุดต่อการจัดการเรียนรู้และสร้างคุณภาพ ควรได้รับการส่งเสริมจากผู้บริหารให้มีจังหวะก้าวเดินที่มีคุณค่า และสร้างคุณภาพให้กับครู ก่อนที่จะไปสร้างห้องเรียนคุณภาพ อย่างน้อย 4 ก้าว ดังนี้
ก้าวที่ 1 กำหนดหน่วยการเรียนรู้สาระรายวิชา (Course Syllabus)
(บอกความเป็นนักวางแผนชั้นครู)
การกำหนดหน่วยการเรียนรู้ (Syllabus) เป็นงานวางแผน ที่ครูต้องวางแผนให้สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทที่มีอยู่ คือ หลักสูตรสถานศึกษา(คำอธิบายรายวิชา) ผู้เรียน วิถีชีวิตท้องถิ่น ตลอดจนทรัพยากรการบริหารอื่น ๆ ซึ่งต้องวางแผนให้ชัดเจนก่อนปีการศึกษาใหม่จะเริ่มขึ้น เพื่อจะได้ใช้เป็นแผนที่เดินทางประจำตัวครู (Roadmap)
หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยกลุ่มสาระต่าง ๆ และแต่ละสาระวิชาจะมาสิ้นสุดที่ “คำอธิบายรายวิชา” (Course Description) หมายถึง การพรรณนาขอบข่ายสาระของวิชานั้นตามมาตรฐานกำหนดไว้ คำอธิบายรายวิชา ก็คือ “หลักสูตร” ที่ครูจะนำไปวางแผนบริหารจัดการ (Course Management)
องค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ โดยทั่วไปประกอบด้วย ข้อมูลผู้สอน คำอธิบายรายวิชา จุดมุ่งหมาย (วัตถุประสงค์) หัวข้อเรื่องที่จะสอนหรือหน่วยการเรียนรู้ วันเดือนปี จำนวนสัปดาห์หรือชั่วโมงที่ต้องใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ หนังสือคู่มือต่าง ๆ การวัดและประเมินผลและอื่นๆ
การกำหนดวันเวลาและเนื้อหา ให้เป็นไปตามปฏิทินวันทำการปกติของทางราชการ ของ สพท.และของโรงเรียน ควรเว้นวันหยุดต่าง ๆ วันสำคัญทางศาสนาและประเพณีท้องถิ่น และเหตุการณ์ที่คาดว่าจะมีความสำคัญเกิดขึ้นออกไป จัดเนื้อหาและวันเวลาให้สอดคล้องกับธรรมชาติของท้องถิ่นและระดับการศึกษา ตลอดทั้งปีการศึกษา ประมาณ 200-230 วัน หรือ 40 สัปดาห์ ดังนี้
1) ระดับชั้นประถมศึกษา จะพบโรงเรียนมีธรรมชาติการปฏิบัติงาน 2 แบบ ซึ่งการบริหารจัดการก็จะต่างกัน คือ
(1) การสอนประจำชั้น โดยครูได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเป็นชั้นเรียน บทบาทครูจะมีความแตกต่างจากครูที่ต้องรับผิดชอบรายวิชา เพราะต้องรับผิดชอบสอนทั้งชั้นเรียนและสอนทุกกลุ่มสาระ กรณีอย่างนี้ ครูมีบทบาทเป็น “ผู้บริหารจัดการชั้นเรียน” (Class Manager)
หน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดต้องเป็น “แบบบูรณาการ” คือการรวมทุกสาระมาจัดไว้เรียนร่วมกัน ครูจะต้องนำคำอธิบายรายวิชาและมาตรฐานการเรียนรู้จากทุกสาระ มากำหนดเป็นหน่วยแบบบูรณาการหน่วยต่าง ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะตามบริบทของชั้นเรียนนั้น ๆ ทั้งสองภาคเรียน คือ 40 สัปดาห์ หรือ 200 วัน ไม่เหมาะในการจัดหน่วยการเรียนแยกรายสาระ
การจัดทำหน่วยการเรียนรู้ของครูประจำชั้นเช่นนี้จึงมีความยุ่งยากซับซ้อน ครูต้องมีความรู้ทำความเข้าใจและมีทักษะในการบูรณาหลายสาระการเรียนรู้เข้า ด้วยกัน มีการเชื่อมโยงแนวคิด (Mind Map) และกิจกรรมไปยังสาระต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน

(2) การสอนประจำวิชา คือการที่ครูได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบประจำรายวิชา เรียกว่าเป็น “ผู้บริหารจัดการรายวิชา” (Course Manager) โดยการนำคำอธิบายรายวิชา (Course Description) มาวิเคราะห์ กำหนดวัตถุประสงค์ (Objectives) จัดหน่วยการเรียนรู้ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและธรรมชาติรายวิชา ซึ่งเป็นงานวางแผนเช่นเดียวกันแต่ไม่เหมือนกับการวางแผนแบบบูรณาการที่ซับ ซ้อนกว่า
แนวทางการบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนระดับประถมศึกษาจึงเป็นไปตามความ เหมาะสมของจำนวนบุคลากรและย่อมมีความหลากหลายในวิธีการปฏิบัติ เพราะจะพบการสอนประจำชั้น ครูประจำวิชา การสอนควบชั้น การสอนคละชั้น เป็นต้น จึงเป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละสถานศึกษาซึ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ กับครูแต่ละคนตามบริบทที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี

2) ระดับมัธยมศึกษา มีธรรมชาติที่เป็นรายวิชาอิสระที่มีครูรับผิดชอบ มีคำอธิบายรายวิชาที่ชัดเจน กำหนดวัตถุประสงค์และหน่วยการเรียนรู้เป็นรายภาคเรียน ใช้เวลาประมาณ 20 สัปดาห์ อยู่ในฐานะผู้บริหารจัดการรายวิชา (Course Manager) ที่ชัดเจน

การกำหนดหน่วยการเรียนรู้ (Syllabus) จึงเป็นก้าวแรกของครูทุกระดับการศึกษา เป็นด่านแรกที่แสดงศักยภาพความเป็น “นักวางแผน” ของครู ทำให้เห็นวิธีคิด (Paradigm) เห็นองค์ความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะที่มีอยู่ในตัวครูได้อย่างชัดเจน เป็นสิ่งให้ผู้บริหารใช้เป็นพื้นฐานในการเก็บเกี่ยวและพัฒนาส่งเสริมทักษะ บุคลิกภาพและเจตคติที่มีอยู่ในตัวครูก่อนทำการสอนได้อย่างชัดเจน สร้างความมั่นใจและลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี และหน่วยการเรียนรู้ถือเป็นเสมือนเค้าโครงการวิจัยเชิงทดลอง
จึงถือเป็นก้าวแรกที่งดงามของครูที่ผู้บริหารโรงเรียนจะใช้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับอนุญาตจากผู้บริหารสถานศึกษาที่จะให้เข้าทำการสอนในชั้นเรียนได้

ก้าวที่ 2 วางแผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan)
(บอกความเป็นนักออกแบบชั้นครู)

เป็นขั้นของการนำหน่วยการเรียนรู้ (Syllabus) มาเตรียมการสอน เป็นการถอดหน่วยการเรียนรู้มาทำการวางแผนการจัดการเรียนรู้รายบทเรียน (Lesson Plan) ด้วยตนเอง ด้วยการจัดทำบทเรียน กำหนดวัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารคู่มือ สื่อ แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนสด ที่ออกแบบเพื่อการจัดการเรียนรู้ล่วงหน้าและใช้แต่ละครั้งไป โดยออกแบบไว้ในวันนี้เพื่อการสอนในสัปดาห์หน้าเสมอ เป็นการเตรียมความพร้อมของครูตามหลักที่ว่า “จะปลูกพืชต้องเตรียมดิน จะกินต้องเตรียมอาหาร”
รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ อย่างน้อยสิ่งที่จะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนคือ สาระการเรียนรู้ตามมาตรฐาน วัตถุประสงค์ และกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดทำรายละเอียดมากเท่าใดยิ่งมีประโยชน์ต่อการทำงานของครูมากเท่านั้น การออกแบบการสอนที่ดีต้องตอบคำถามได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เรียน การใช้วิธีการออกแบบย้อนกลับ (Backward Design) ก็เป็นเทคนิคที่ดีอย่างหนึ่งที่มีบทบาทมากในปัจจุบัน การสอนที่มีประสิทธิภาพย่อมมาจากการเตรียมการที่ดีเสมอ
ก้าวที่ 3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
(บอกความเป็นนักบริหารจัดการห้องเรียนชั้นครู)
เป็นขั้นของการจัดการเรียนรู้ของครูตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ครูได้แสดงบทบาทการเป็นนักบริหารจัดการอย่างเต็มที่ คือ การใช้ทักษะผู้นำ (Leadership) และความรู้ความสามารถทุกอย่าง ได้แก่ การบริหารชั้นเรียน การบริหารเวลา ทักษะการใช้สื่อ การตัดสินใจ การวัดและประเมินผลของครู เพื่อที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขั้นนี้คือ การบันทึกร่องรอยผลการจัดการเรียนรู้ ให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการทำงาน สิ่งที่ครูควรมีการบันทึกผลหลังสอน ได้แก่
1) ผลการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น โดยการตอบวัตถุประสงค์ของแผน แต่ละข้อมีผลสำเร็จอย่างไร ด้วยวิธีใด จำนวนเท่าใด และมีค่าสถิติอย่างไร มีข้อสังเกต และข้อพิจารณานำไปปรับปรุงต่อและใช้ในครั้งต่อไปอย่างไร
การยกระดับคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนด้วยแนวทางห้องเรียนคุณภาพ(ต่อ)
ก้าวที่ 3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
(บอกความเป็นนักบริหารจัดการห้องเรียนชั้นครู)

เป็นขั้นของการจัดการเรียนรู้ของครูตามแผนที่ได้กำหนดไว้ ครูได้แสดงบทบาทการเป็นนักบริหารจัดการอย่างเต็มที่ คือ การใช้ทักษะผู้นำ (Leadership) และความรู้ความสามารถทุกอย่าง ได้แก่ การบริหารชั้นเรียน การบริหารเวลา ทักษะการใช้สื่อ การตัดสินใจ การวัดและประเมินผลของครู เพื่อที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขั้นนี้คือ การบันทึกร่องรอยผลการจัดการเรียนรู้ ให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการทำงาน สิ่งที่ครูควรมีการบันทึกผลหลังสอน ได้แก่
1) ผลการจัดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น โดยการตอบวัตถุประสงค์ของแผน แต่ละข้อมีผลสำเร็จอย่างไร ด้วยวิธีใด จำนวนเท่าใด และมีค่าสถิติอย่างไร มีข้อสังเกต และข้อพิจารณานำไปปรับปรุงต่อและใช้ในครั้งต่อไปอย่างไร
2) บันทึกบรรยากาศการเรียนรู้จริง เช่น ความสนุกสนาน ความสนใจร่วมมือ เจตคติ พฤติกรรม สื่อ แบบวัดประเมิน เหตุการณ์ที่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ปัจจัยเสริม ข้อขัดข้องข้อสังเกตต่าง ๆ ควรเก็บบันทึกอย่างครบถ้วน
การบันทึกเป็นสิ่งง่าย ๆ ที่ครูจะเกิดทักษะและประสบการณ์ในการบันทึก ให้เป็นหมวดหมู่เป็นประเด็น เป็นสมุดปูม (Log Book) บันทึกเหตุการณ์ประจำวันของชั้นเรียน
ในขั้นตอนนี้ ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการเข้าไปกำกับการจัดกิจกรรมการเรียน รู้ในฐานะผู้นิเทศ คือ การให้กำลังใจ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ (ละเว้นการตำหนิ การกล่าวโทษ)การสร้างแรงจูงใจ การเสริมแรง ส่งเสริมและช่วยเหลือให้ครูได้รับความสำเร็จ โรงเรียนควรจัดระบบนิเทศภายใน (Internal Supervisory System) ผู้ทำหน้าที่นิเทศที่มีคุณค่าที่สุดก็คือผู้บริหารสถานศึกษา อาจกำหนดคณะนิเทศภายในสถานศึกษาและแสวงหาความร่วมมือการนิเทศที่เหมาะสมกับ บริบทของโรงเรียน
ก้าวที่ 4 การประเมินการสอนรายวิชา
(บอกความเป็นนักวิจัยชั้นครู)
เป็นขั้นที่บอกความสำเร็จในการทำงานของครู จากการจัดการเรียนรู้ตามแผนตั้งแต่แผนแรกจนถึงแผนสุดท้ายมาวิเคราะห์ประมวล ผล เพื่อตอบหน่วยการเรียนรู้ (Syllabus) และวัตถุประสงค์หน่วยการเรียนรู้ ว่าแต่ละข้อมีผลสำเร็จอย่างไร เท่าใด มีปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะและการแก้ไขไว้อย่างไร ทุกคำตอบหาได้จากบันทึกผลหลังแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้บันทึกไว้แล้ว
สิ่งที่ควรดำเนินการในขั้นนี้ คือ
1) การสรุปผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการจัดทำเป็นข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาประจำวิชาและของสถานศึกษา
2) สรุปรายงานผลการใช้หลักสูตรรายวิชา/หรือชั้น ในรูปแบบรายงานการวิจัย 5 บท ซึ่งได้ข้อมูลจากผลการแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นผลงานสิ่งที่ทุกฝ่ายปรารถนาเพราะเป็นงานการวิจัยสูตรสถานศึกษา จะพบองค์ความรู้ที่มีคุณค่าของครูอยู่ที่นี่ ต่อการพัฒนาหลักสูตรและการขอรับวิทยฐานะความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ
4. มิติสัมพันธ์ 4 ก้าวเดินครูกับห้องเรียนคุณภาพ
ก้าวเดินที่มีคุณภาพครูมีความสัมพันธ์กับการส่งเสริมให้เกิดห้องเรียน คุณภาพ ช่วยให้เข้าถึงกรอบที่กำหนดไว้ 5 ประการ ดังนี้
4.1 การนำการเปลี่ยนแปลงสู่ห้องเรียนคุณภาพ
ครูมีโอกาสได้รับการเร่งเร้า ส่งเสริม เพื่อกำหนดกระบวนทัศน์ (paradigm) ในการทำงานใหม่ในห้องเรียน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบในการบริหารจัดการรายวิชาของครู ที่จะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนแนวทางการขจัดการเรียนรู้ เห็นศักยภาพของครูแต่ละคน สามารถสืบค้นจากแหล่งความรู้และมองเห็นแนวทางปรับปรุงต่อยอดความคิดได้ ชัดเจน มีการปรับการเรียนเปลี่ยนวิธีสอน สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา
4.2 การออกแบบการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน
สามารถวัดได้จากการเป็นนักวางแผน การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) จากหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนด เป็นไปตามมาตรฐานหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการและหลักสูตรสถานศึกษา สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
4.3 การวิจัยในชั้นเรียน (CAR-Classroom Action Research)
การจัดการเรียนรู้ การบันทึกตามแผนการจัดการเรียนรู้ และนำผลมาประมวลเมื่อสิ้นปีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลงานวิจัยชั้นเรียนที่มีคุณค่า ครูทุกคนมีผลงานวิจัยของตน เป็นฐานที่สำคัญในการนำไปพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในแต่ละปี สามารถใช้เป็นผลงานในการขอเพิ่มวิทยฐานะได้อย่างมีเกียรติ
เป็นผลที่เกิดขึ้นในก้าวที่ 4 ครู เป็นก้าวของการสรุปองค์ความรู้ ความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่หรือนวัตกรรม (Innovation) เพื่อเผยแพร่และการนำไปต่อยอดต่อไป หลักสูตรสถานศึกษาได้รับการวิจัยและการพัฒนาเป็นกระบวนการที่มีความยั่งยืน
4.4 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน
อยู่ในทุกก้าวเดินของครูโดยเฉพาะอย่างยิ่งก้าวที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นก้าวของการแสวงหาความรู้และการสอน ได้แก่การใช้สื่อสารสนเทศที่กว้างขวางเพื่อการสืบค้นและการเรียนการสอนสู่ ห้องเรียนสากล (Global Classroom) หลายอย่างครูสามารถเรียนรู้แนวทางได้จากอินเตอร์เน็ต เช่น การสอนที่ใช้พลังของเด็ก (Power Teaching) เป็นรูปแบบที่ให้นักเรียนสอนเพื่อนต่อในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ มีความตื่นตัวสนุกสนานพัฒนาสมองและบุคลิกภาพเด็กได้ครบทุกส่วน และขณะเดียวกันเด็กก็สามารถเรียนรู้และเลียนแบบจากต้นแบบในอินเตอร์เน็ตเช่น เดียวกัน เช่น การเล่นกีฬา ดนตรีประเภทต่าง ๆ ที่ครูเลือกแนะนำให้เด็กได้แม้ไม่มีความชำนาญ ทำให้สื่อใกล้ตัวครูและนักเรียนมากขึ้น ชุมชนการเรียนรู้กว้างออกจากห้องเรียนไปสู่สากลด้วยจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การใช้สมุดปูมส่วนตัว หรือ บล็อก (Blog) ที่มีบริการแก่สมาชิก เช่น http://www.gotoknow.org/ ; http://www.blogger.com เป็นต้น
5. บทสรุป : 4 ก้าวคุณภาพครูชัยชนะของทุกฝ่าย (win-win solution)
1) เด็ก ได้รับการเรียนรู้ตามมาตรฐาน มีแบบแผน ไม่อยู่ในภาวะเสี่ยง เรียนเก่ง เป็นคนดี มีความสุข
2) ครู ได้มีระบบการทำงานที่สอดคล้องกับวิชาชีพ ไม่ทิ้งชั้นเรียน มีความสุขกับการศึกษาค้นคว้าทดลองด้วยวิธีการของตน สร้างผลงาน พอกพูนประสบการณ์และความเชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นตามระยะเวลาในการทำงาน มีเกียรติได้รับการยอมรับในระดับมืออาชีพ
3) ผู้บริหาร มีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจากผลงานการวิจัยของครูทุกคน และต่อยอดความสมบูรณ์ของหลักสูตรสถานศึกษาสู่ความก้าวหน้า มีบุคลากรที่มีคุณค่า แต่ละสถานศึกษาได้สร้างมีองค์ความรู้ที่หลากหลายตามบริบทที่มีอยู่
4) โรงเรียน กล้าประกาศตนเป็นโรงเรียนคุณภาพ เป็นสถาบันที่มีคุณค่าของชุมชน ได้รับความเชื่อมั่นเชื่อถือ
5) ชุมชนและผู้ปกครอง ได้สถานศึกษาของชุมชนที่มีคุณภาพในการบริหารจัดการ มีการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นในครูและระบบการศึกษา
6) สำนักงานเขตพื้นที่ สามารถกำกับดูแลการจัดการศึกษาของสังกัดได้อย่างมีทิศทาง สามารถควบคุมระดับคุณภาพและมาตรฐานได้ ลดความเสี่ยงด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน สถานศึกษามีความหลากหลายในแนวทางปฏิบัติ (Best Practices) เป็นองค์ความรู้สู่การแลกเปลี่ยนต่อยอดให้ยั่งยืนต่อไป
ส่งท้ายบทสรุป หากโรงเรียนได้ดำเนินการจัดทำห้องเรียนคุณภาพจนเกิดผลแล้วผลที่ตามมาคือจะทำ ให้นักเรียนเป็นบุคลที่มีศักยภาพ มีคุณภาพ เป็นเด็กดี เด็กเก่ง อยู่ร่วมในสังคมอย่างมีความสุข และมีคุณลักษณ์อันพึงประสงค์ตามที่สังคมไทยต้องการ อีกทั้งมีศักยภาพในการแข่งขันระดับเวทีโลก นำไปสู่โรงเรียนที่มีระดับมาตรฐานสากลต่อไป
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.learners.in.th/posts/448009



ที่มา https://www.learners.in.th/posts/448009
surisa
 
โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 23 ม.ค. 2015 5:49 pm

ย้อนกลับไปยัง การจัดการความรู้ KM

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron